BMI ดัชนีมวลกายที่ควรรู้
ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) คือ การประมาณปริมาณไขมันในร่างกายเบื้องต้น โดยใช้ส่วนสูงและน้ำหนักตัวเป็นปัจจัยหลักในการคำนวณ ซึ่งเป็นค่าที่ได้แบบคร่าวๆ เพื่อประเมินความเหมาะสมระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง หากมีค่าดัชนีมวลกายสูงก็อาจคาดการณ์ได้ว่ามีระดับไขมันในร่างกายสูง และอาจมีความเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคร้าย เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน แต่หากมีค่าดัชนีมวลกายต่ำเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูก หรือการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง รวมทั้งโรคโลหิตจางได้เช่นกัน
ค่าดัชนีมวลกายนำมาใช้เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณไขมันในร่างกาย ซึ่งถือเป็นการคัดกรองเบื้องต้น โดยหากพบว่ามีค่าดัชนีมวลกายสูง แพทย์จะสั่งตรวจด้วยวิธีอื่นๆเพิ่มเติม เช่น การวัดความหนาของผิวหนัง (Skinfold Thickness Measurements) และอาจมีการซักประวัติเกี่ยวกับอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย ประวัติครอบครัว หรือเรื่องอื่นๆที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยโรค
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดค่ามาตรฐานดัชนีมวลกายที่เหมาะสมระหว่างน้ำหนักและส่วนสูงไว้ แต่จากค่าดัชนีมวลกายที่กำหนดขึ้นนี้ยังมีข้อจำกัดสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น นักกีฬา ผู้ที่มีรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หรือผู้สูงอายุ และผู้ที่สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากไม่สามารถบ่งบอกปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรือความเสี่ยงสุขภาพอื่นๆในกลุ่มคนเหล่านี้ได้ ซึ่งอาจต้องใช้ปัจจัยอื่นๆร่วมพิจารณาด้วย
วิธีคำนวณค่าดัชนีมวลกาย
การคำนวณดัชนีมวลกายจะใช้วิธีเดียวกันทั้งชายและหญิง ใช้ประเมินสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ประโยชน์ของการวัดค่าดัชนีมวลกายเพื่อดูอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ และตรวจสอบภาวะไขมันและภาวะอ้วน โดยการนำเอาน้ำหนักตัวและส่วนสูงมาเป็นปัจจัยในการคำนวณ ดังนั้นการทำให้ร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพในระยะยาว ซึ่งสูตรการคำนวณค่าดัชนีมวลกายมีดังนี้
ค่ามาตรฐานดัชนีมวลกาย
โดยปกติคนเอเชียจะใช้ค่าดัชนีมวลกายเท่ากัน ซึ่งค่ามาตรฐานของดัชนีมวลกายเหล่านี้จะเป็นเพียงเกณฑ์โดยคร่าวๆเท่านั้น และอาจแบ่งได้เป็น 5 ระดับใหญ่ๆดังนี้
1) ผอมเกินไป (น้อยกว่า 18.5)
2) น้ำหนักปกติ เหมาะสม (18.5 – 22.9)
3) น้ำหนักเกิน (23.0 – 24.9)
4) อ้วน (25.0 – 29.9)
5) อ้วนมาก (มากกว่า 30.0)
*บางแห่งอาจแยกย่อยลงไปมากกว่านี้
ดัชนีมวลกายกับการระบุความเสี่ยงสุขภาพ
แม้จะสามารถช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงภาวะน้ำหนักเกินได้ แต่ค่าดัชนีมวลกายถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการประเมินสุขภาพเท่านั้น จึงไม่สามารถระบุความเสี่ยงสุขภาพได้ เนื่องจากคนบางกลุ่มนั้นอาจมีค่าดัชนีมวลกายสูง แต่อาจไม่ใช่คนที่เป็นโรคอ้วน หรืออาจมีคนบางกลุ่มที่ผอมและมีค่าดัชนีมวลกายต่ำ แต่มีระดับคอเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นจึงต้องใช้ปัจจัยอื่นๆร่วมพิจารณาวินิจฉัยด้วยจึงจะสามารถระบุความเสี่ยงสุขภาพได้ เช่น
- ปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย
- ระดับการเคลื่อนไหวร่างกาย
- ลักษณะร่างกาย
- อายุ
- ชาติพันธุ์
นอกจากนี้แพทย์อาจใช้วิธีตรวจวัดชนิดอื่นๆ เช่น การวัดความหนาของผิวหนังด้วยคลิปหนีบวัดไขมัน การชั่งน้ำหนักในน้ำ หรือการวัดองค์ประกอบโดยใช้หลักการกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยสนับสนุนข้อมูลเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ชัดเจนมากขึ้น ขณะที่หากต้องการวัดด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ดัวยวิธีดังต่อไปนี้
การวัดรอบเอว ด้วยการนำสายวัดตัววัดที่รอบเอว ซึ่งรอบเอวของคนเราจะอยู่ที่จุดกึ่งกลางของลำตัวนั่นคือ “สะดือ” ดังนั้นการวัดเพื่อหาความยาวรอบเอวจะต้องวัดผ่านสะดือเสมอ เพื่อให้ห่างไกลจากภาวะน้ำหนักเกิน ควรมีความยาวรอบเอวดังนี้
- ผู้ชาย ไม่เกิน 36 นิ้ว
- ผู้หญิง ไม่เกิน 32 นิ้ว
เมื่อได้ข้อมูลต่างๆครบแล้ว แพทย์จะนำมาวินิจฉัยหาข้อสรุปอีกครั้งหนึ่งว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงสุขภาพหรือไม่
ค่าดัชนีมวลกายสูง กับความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ
กรณีที่มีค่าดัชนีมวลกายสูง และถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำหนักเกิน อาจทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย ได้แก่
- เสี่ยงต่อความเสี่ยงการเสียชีวิตทุกชนิด
- โรคความดันโลหิตสูง
- คอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี
- โรคข้อเข่าเสื่อม
- ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ หรือปัญหาในการหายใจ
- การอักเสบเรื้อรัง
- โรคมะเร็งชนิดต่างๆ
- โรคกระดูกพรุน
- โรคอ้วน
- เกิดอาการเจ็บปวดตามร่างกายเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ
นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต อันเนื่องมาจากความยากลำบากในการใช้ชีวิต เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และโรคจิตเวชอื่นๆ และอาจทำให้สูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก เก็บตัว และมีปัญหาในการเข้าสังคมได้
ค่าดัชนีมวลกายเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นที่สามารถใช้เพื่อประเมินรูปร่างและสุขภาพเท่านั้น ไม่ควรยึดติดกับค่าดังกล่าวจนเกินไป เพราะอาจทำให้กังวลกับการควบคุมน้ำหนัก และอาจส่งผลต่อสุขภาพในภายหลังได้ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือการรู้จักดูแลและใส่ใจในสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายต้องการ 6 – 8 แก้วต่อวัน (1.5 – 2 ลิตร) จาปินอยากเห็นทุกท่านมีสุขภาพดี ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆตลอดไป
