ไขมันทรานส์...ภัยใกล้ตัว
ไขมันทรานส์ (Trans Fat) มีส่วนประกอบหลักคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีโครงสร้างชนิดทรานส์ ซึ่งพบได้เพียงเล็กน้อยจากไขมันเนื้อสัตว์ และนม ส่วนใหญ่ไขมันทรานส์จะเป็นไขมันที่ได้จากการสังเคราะห์ระหว่างกระบวนการผลิตอาหาร โดยการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oil) เข้าไปในน้ำมันพืช ทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร สามารถเพิ่มความคงตัวของรสชาติอาหาร ลดกลิ่นเหม็นหืน เก็บไว้ได้นาน และช่วยยืดอายุของอาหารได้ ที่สำคัญสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย การเติมไฮโดรเจนบางส่วนเข้าไปในน้ำมันพืช ทำให้น้ำมันพืชกลายเป็นไขมันทรานส์ที่อยู่ในรูปของมาร์การีน (Margarine) หรือเนยเทียม เนยขาว (Shortening) ครีมเทียม และวีปครีม ทั้ง 4 ชนิดนี้มีไขมันทรานส์อยู่ เมื่อนำอย่างใดอย่างหนึ่งไปใส่หรือเป็นส่วนประกอบของอาหารหรือขนมอะไรก็ตาม อาหารหรือขนมชนิดนั้นก็จะมีไขมันทรานส์ผสมอยู่ทันที
อาหารหรือส่วนประกอบอาหารที่มีไขมันทรานส์ ได้แก่ มาร์การีนหรือเนยเทียม ครีมเทียม ครีมเทียมข้นหวาน (ที่นิยมนำมาใช้ทำขนม ผสมเครื่องดื่มต่างๆแทนเนยสด ครีมจริง หรือนมข้นหวานล้วน และนมข้นจืด) เนยขาว ฯลฯ ดังนั้นเราจึงพบอาหารที่มีไขมันทรานส์สูงในอาหารตระกูลขนมหวาน และขนมอบต่างๆ เช่น เค้ก คุกกี้ ครัวซองต์ โดนัท พาย และขนมกรุบกรอบต่างๆ อาหารฟาสต์ฟู้ด (Fast Food) แป้งพิซซ่า อาหารทอดแบบ Deep Fried เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ ป๊อปคอร์น รวมทั้งเครื่องดื่มต่างๆและอาหารที่มีส่วนประกอบที่กล่าวไว้ข้างต้นทั้งหมด
อันตรายของไขมันทรานส์
การทานอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์มากๆ หรือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ อาจส่งผลเพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆดังนี้
- หัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ/ตัน
- หลอดเลือดสมองตีบ/ตัน
- ไขมันในเลือดสูง
- โรคอ้วน
- ความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์
- จอประสาทตาเสื่อม
- นิ่วในถุงน้ำดี
ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นอันตราย และหากมีความรุนแรงจะส่งผลต่อชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที เมื่อเราทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ค่อนข้างมาก และไม่เคยตรวจสุขภาพหาไขมันในเลือดมาก่อน มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคต่างๆดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ข้อควรรู้ไขมันทรานส์
ก่อนหน้านี้มีการรณรงค์ต่อต้านไขมันทรานส์ โดยมีข้อจำกัดว่าในอาหารจะมีปริมาณไขมันทรานส์ได้เพียงเล็กน้อยตามมาตรฐาน แต่ยังมีช่องว่างในการหลบเลี่ยง โดยผู้ผลิตหันไปใช้ช่องโหว่เรื่อง “ไขมันทรานส์ 0 กรัม” แทน เนื่องจากถ้าในอาหารนั้นมีการใช้น้ำมันที่ผ่านการเติมไฮโดรเจนบางส่วน และน่าจะมีไขมันทรานส์อยู่ แต่มีในปริมาณที่น้อยกว่าตามที่แต่ละประเทศกำหนดต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ก็มีสิทธิเขียนได้ว่า 0 gram trans fat (0 กรัมไขมันทรานส์) ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ว่าเป็น 0% คือไม่มีอยู่เลย แต่จริงๆคือยังมีปนเปื้อนอยู่ ผู้ผลิตจะจำกัดตัวเลขในฉลากบรรจุภัณฑ์ว่า หากมีปริมาณของส่วนประกอบนั้นๆน้อยกว่า 1 กรัม กล่าวคือตั้งแต่ 0.9 กรัมเป็นต้นไป จะสามารถยึดตัวเลขให้เหลือแค่ 0 โดยไม่ต้องแสดงจุดทศนิยมได้ ดังนั้นในหลายๆผลิตภัณฑ์จึงอาจจะมีไขมันทรานส์ได้มากถึง 0.9 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภคนั่นเอง แต่หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ ห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่าย อาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์ ผู้ผลิตจะไม่สามารถใช้ช่องโหว่นี้ได้อีกต่อไปแล้ว
กินอย่างไรให้ห่างไกลไขมันทรานส์
สิ่งที่ควรปฏิบัติก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าที่เราไม่รู้ว่าสินค้านั้นมีไขมันทรานส์หรือไม่ ก็คือต้องอ่านฉลากโภชนาการก่อนเสมอ ถ้าในฉลากโภชนาการระบุไว้ว่ามีส่วนประกอบของครีมเทียม เนยเทียม หรือมาร์การีนอยู่ในสัดส่วนเท่าใดก็แล้วแต่ ถือว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นมีไขมันทรานส์อยู่ควรหลีกเลียง ถ้าผลิตภัณฑ์ใดไม่มีฉลากก็ยิ่งควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน และในอาหารที่ไม่ได้อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตถูกต้องชัดเจนตามที่ อย. รับรอง เช่น โดนัท เค้ก ขนมปัง คุกกี้ มันฝรั่งทอด ที่วางแบขายอยู่ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าเป็นไขมันทรานส์หรือไม่
เพื่อความปลอดภัยเราสามารถเลือกรับประทานอาหารอย่างอื่นได้ เช่น พวกผัก ผลไม้ หรืออาหารจำนวนไขมันที่ดี เช่น ไขมันจากสัตว์ ไขมันจากกะทิ ไขมันจากน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น แต่ต้องกินพอดีและจำกัดความถี่ จึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้ากินมากให้โทษเหมือนกัน ไม่ว่าอาหารนั้นจะมีไขมันทรานส์หรือไม่มีก็ตาม ถ้ากินอาหารที่มีการทอดหรือผัดบ่อยๆ ร่างกายก็มีสิทธิอ้วนและมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้แน่นอน เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรลดอาหารรสเค็ม ลดหวาน และลดมัน แล้วกินผักผลไม้เยอะๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แค่นี้ก็สุขภาพดีแล้ว ไม่ต้องกลัวเป็นโรค ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล
นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำให้ได้ตามความต้องการของร่างกายก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ควรเลือกน้ำดื่มกลุ่มโมเลกุลเล็ก ที่ผลิตจากเครื่องผลิตน้ำไอวอเตอร์ (iWater) ซึ่งได้รับมาตรฐานการกรองทั้งระบบจากองค์การอนามัยแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (NSF) การดื่มน้ำวันละ 6 – 8 แก้ว (1.5 – 2 ลิตร) ต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ น้ำดื่มไอวอเตอร์คงไว้ซึ่งแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อต่างกาย จาปินขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งให้ทุกท่านมีสุขภาพดี ห่างไกลจากโรคต่างๆที่มีสาเหตุมาจากไขทรานส์ เราหวังให้คนไทยมีสุขภาพดีกันทั่วหน้าค่ะ
