ประจำเดือน..!!
ประจำเดือน (Menstruation) หรือมักนิยมเรียกกันว่า เมนส์ หรือ ระดู และ รอบเดือน คือภาวะที่เนื้อเยื่อบุภายในโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาพร้อมกับเลือดบางส่วน โดยเป็นผลมาจากการเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ในทุกๆรอบ 1 เดือนของร่างกาย เมื่อไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ร่างกายจะปรับสภาพเข้าสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้เนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่สร้างมารองรับตัวอ่อนหลุดลอกออกมากลายเป็นประจำเดือน โดยมีฮอร์โมนสองชนิดคือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นตัวควบคุมการสร้างและการหลุดลอกของเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งระดับฮอร์โมนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กับการตกไข่จากรังไข่ และในแต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 28 วัน หรือในผู้หญิงบางคนอาจมีรอบเดือนในช่วงตั้งแต่ 21 – 35 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
โดยปกติผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกในช่วงอายุ 12 – 13 ปี ก่อนจะค่อยๆเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนในช่วงอายุประมาณ 45 – 55 ปี แต่ในบางกรณีที่มีอาการป่วยหรือได้รับการรักษาที่กระทบต่อรอบเดือนก็อาจทำให้ประจำเดือนหมดก่อนวัยได้เช่นกัน
อาการของประจำเดือน
ผู้หญิงมักมีประจำเดือนครั้งละ 3 – 5 วัน หรือสูงสุดไม่เกิด 7 วัน เรียกว่าระยะประจำเดือน หากมีรอบเดือนปกติมักจะมาตรงกันในทุกๆเดือน ทั้งนี้ก่อนถึงช่วงมีประจำเดือน ผู้หญิงบางคนอาจมีอาการของกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premensatrual Syndrome : PMS) เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งอาจส่งผลทางร่างกายและจิตใจ ดังนี้
อาการทางร่างกาย
- ปวดศรีษะ
- ท้องอืด
- น้ำหนักขึ้น
- ท้องผูกหรือท้องเสีย
- รู้สึกเมื่อยล้า อ่อนเพลียมาก ไม่ค่อยมีแรง แม้ทำกิจกรรมธรรมดา
- ง่วงนอนผิดปกติ
- เป็นตะคริว หรือมีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และหลังช่วงล่าง
- รู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ
- ความต้องการทางเพศต่ำ
อาการทางด้านจิตใจ และพิฤติกรรม
- มีอารมณ์ซึมเศร้า
- โกรธหรือหงุดหงิดง่าย และอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว
- อารมณ์แปรปรวน
- วิตกกังวลง่าย
- มีพฤติกรรมแยกตัวจากเพื่อน ครอบครัว หรือคนรอบข้าง
- ไม่มีสมาธิ ไม่กระตือรือร้น
เมื่อเข้าสู่ช่วงมีประจำเดือน หรือระยะประจำเดือนแล้ว เลือดประจำเดือนจะเริ่มไหลออกมาพร้อมกับเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอก และอาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก ปวดท้องประจำเดือนโดยรู้สึกปวดบีบบริเวณท้องหรือท้องน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเมื่อหมดระยะประจำเดือน
ลักษณะสีของประจำเดือน
สีของประจำเดือนสามารถบ่งบอกถึงระดับฮอร์โมนในร่างกายได้ โดยทั่วไปสีของประจำเดือนมีอยู่ 3 สีด้วยกัน หากมีสีหรือลักษณะแตกต่างไปจากนี้ถือว่าผิดปกติ
- สีแดงเข้ม คล้ายน้ำแครนเบอร์รี่ บ่งชี้ว่ามีประจำเดือนปกติ
- สีแดงสด คล้ายแยมสตรอเบอรี่ บ่งชี้ว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย ช่องคลอดแห้ง อารมณ์ทางเพศลดลง และผมร่วง
- สีแดงคล้ำหม่น คล้ายบลูเบอร์รี่บด บ่งชี้ว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ซึ่งพบได้ในผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ
อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
ควรสังเกตอาการช่วงที่มีประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งการที่ประจำเดือนมาไม่ปกติอาจมีสาเหตุมาจาก การเจ็บป่วยของร่างกาย เช่นเป็นไข้หรือไม่สบาย ความเครียด หรือจากการเดินทาง ซึ่งบางครั้งมีรูปแบบการนอนที่ผิดปกติไป ผิดที่หรือผิดเวลา หรือเป็นช่วงที่ให้นมบุตรในช่วงแรกๆ หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก แต่หากพบความเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนหรือมีอาการผิดปกติติดต่อกันนานกว่า 3 รอบเดือน ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด โดยอาการผิดปกติที่ควรสังเกต ได้แก่
- ปวดท้องมากกว่าปกติที่เคยเป็นในแต่ละเดือน
- ปวดบริเวณท้องช่วงล่างลงมา หรือปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง และปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรงร่วมด้วย
- ประจำเดือนมานานกว่า 7 วัน
- ประจำเดือนมาช้าหรือมาถี่เกินกว่ารอบประจำเดือนปกติ
- ประจำเดือนเป็นลิ่มเลือดหรือเป็นก้อนเลือดหนา
- ประจำเดือนมามากกว่าปกติหรือต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยผิดปกติ
- ประจำเดือนไม่มานานกว่า 2 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ประจำเดือนไม่มานานกว่า 2 - 3 เดือน ทั้งๆที่รับประทานยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง
- ระบบขับถ่ายผิดปกติ ท้องอืด ท้องผูก หรืออาการท้องเสียบ่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- มีเลือดไหลออกมา แม้ไม่ได้อยู่ในระยะประจำเดือน หรือหลังการมีเพศสัมพันธ์
- เลือดประจำเดือนมีกลิ่นเหม็นกว่าปกติ อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียภายในช่องคลอด
- อารมณ์แปรปรวนอย่างมาก
- มีไข้สูงหรือรู้สึกไม่สบายอย่างเฉียบพลันหลังจากใช้ผ้าอนามัยแบบสอด
- เด็กผู้หญิงอายุ 13 -14 ปีแล้ว แต่ไม่มีทรวงอกหรือขนอวัยวะเพศ
- เด็กผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ที่มีประจำเดือนช้ากว่าอายุ 15 ปี
- เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี แต่ยังประจำเดือนยังไม่มา (ถือว่าผิดปกติมาก)
การดูแลตัวเองในช่วงมีประจำเดือน
ในช่วงระหว่างการมีประจำเดือน กล้ามเนื้อที่มดลูกจะบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ ทำให้ผู้หญิงอาจรู้สึกไม่สบายหรือปวดเกร็งบริเวณท้องน้อยได้ ซึ่งมีวิธีบรรเทาอาการปวดดังนี้
- การประคบร้อนด้วยถุงน้ำร้อน
- การรับประทานยาในกลุ่ม NSAIDs ได้แก่
- ยาเมเฟนามิค แอซิด (Mefenamic Acid)
- ยานาพรอกเซน (Neproxen)
- ยาระงับอาการปวดอื่นๆ
- ยานาพรอกเซน (Neproxen)
- ยาระงับอาการปวดอื่นๆ
ทั้งนี้หากมีอาการปวดประจำเดือนมากจนกระทบต่อชีวิตประจำเดือน ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลให้ปวดมากขึ้น และพักผ่อนให้มาก หรือหากิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวด เช่น การฝึกหายใจ โยคะ หรือไทชิ นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน หากอาการรุนแรงขึ้นหรือเรื้อรังผิดปกติ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาการปวดท้องนั้นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกปัญหาสุขภาพได้
อาการแทรกซ้อนของประจำเดือน
ประจำเดือนเป็นภาวะปกติที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้หญิงแต่อย่างใด หากประจำเดือนมามากหรือนานกว่าปกติ อาจทำให้เกิดภาวะมีเลือดประจำเดือนมากผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ เช่น
- โรคโลหิตจาง การสูญเสียเลือดจากประจำเดือนมากเกินไป อาจส่งผลให้ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลง และต้องการธาตุเหล็กในการผลิตฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มากขึ้น ซึ่งหากร่างกายไม่ได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอก็จะทำให้เกิดโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในที่สุด โดยอาการของโรคโลหิตจางที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ อ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายผิดปกติ
- อาการปวดประจำเดือนที่รุนแรง การมีประจำเดือนมากผิดปกติจะส่งผลให้ผู้หญิงปวดประจำเดือนรุนแรงยิ่งขึ้น จนทำให้วิธีบรรเทาอาการด้วยตนเองอย่างการประคบร้อนและการรับประทานยาระงับปวดนั้นใช้ไม่ได้ผล อาจต้องเข้ารับการตรวจทางการแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน และเพื่อการรักษาต่อไป
จาปินขอร่วมสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนมีสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก ด้วยเครื่องผลิตน้ำดื่มไอวอเตอร์ (iWater) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวที่มอบให้ทั้ง ความสะอาด ปราศจากเชื้อแบคทีเรีย และคงไว้ซึ่งแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนมีสุขภาพดีตลอดไป
